คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

Oma Khayyam : โอมาร์คัยยาม (ค.ศ.1048-1131)


Oma Khayyam : โอมาร์คัยยาม  กวี  นักคณิตศาสตร์  นักดาราศาสตร์ชาวเปอร์เซีย  ที่มีชื่อเสียงในยุคทองทางปัญญาของอิสลาม  ผู้เขียนตำราคณิตศาสตร์ (Explanations of the difficulties in the postulates in Euclid's Elements.)  และตำราพีชคณิต (Geometric algebra)  และอื่นๆ  แต่งานเขียนที่ทำให้คัยยามมีชื่อเสียงเรื่องลือ  คือ เรื่อง " รุไบยาต " : Rubaiyat (บทกวีเปอร์เซียชนิดหนึ่ง ในหนึ่งบทมีสี่บาท) ซึ่งมีอิทธิพลต่อนักกวีหลายๆคนในยุคต่อมา  และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางหลังจาก Edward Fitzgerald ได้นำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ.1859 จนแพร่หลายไปทั่วโลก  แต่ในเปอร์เซีย (อิหร่าน) ไม่ค่อยได้รับการยกย่องเท่าที่ควร  เนื่องจากถูกนักการศาสนา..กล่าวหาว่าขัดแยงกับคำสอนทางศาสนา  เหตุเพราะ..กวีของคัยยามให้ความสำคัญในเรื่องความรัก  ความสุขสำราญ  และการร่ำสุรามากกว่าให้ความสำคัญในเรื่อง  ความดี  ความชั่ว  หรือคุณธรรม เป็นต้น

ตัวอย่างบทกลอน รุไยาต


        ตื่นขึ้นเถิดเพื่อรับแสงแห่งสูรย์ส่อง         เมื่อดาวล่องเดือนลับไปกลับฝัน
ขับราตรีหนีเตลิดเพื่อเปิดวัน                         เชิญร่วมกันฟังดนตรีแห่งชีวา

        ไปเสียเถิดเจ้าภูตพรายแห่งสายหมอก    ไม่ช้าหรอกเสียงร้านเหล้าเขาเรียกหา
"ประตูเปิดใยพวกเจ้าไม่เข้ามา                      มัวก้มหน้าหดหู่อยู่ทำไม"    

        เมื่อยามตายได้อะไรติดไปบ้าง              เพียงเรือนร่างฝังซากฝากสุสาน
ยังชีพอยู่ดูโลกไปให้สำราญ                         ดอกไม้บานในแก้วเหล้าเราเริงใจ

        ปากของเจ้าสงบนิ่งจริงจริงนะ               "เพื่อหัวใจชัยชนะ" มะ...เติมใหม่
ดื่มเถิดเพื่อเดิมเถิดเราดื่มเข้าไป                     เฉลิมโชคฉลองชัยได้ทุกวัน

         จำเพื่อลืมดื่มเพื่อเมาเหล้าเพื่อโลก        สุขเพื่อโศกหนาวเพื่อร้อนนอนเพื่อฝัน
ชีวิตนี้มีค่านักควรรักกัน                                รวมความฝันกับความจริงเป็นสิ่งเดียว

          ไม่ว่าเป็นนครใหญ่ไพศาลสุด              พระสมุทรพื้นสุธาภูผาเขียว
แต่ละหยดรสเหล้าหลั่งดุจดั่งเกลียว                จักโน้มเหนี่ยวนำโลกสู่โชคชัย  
           
           อย่าเชื่อโลกว่าโชคหนุนหรือบุญส่ง         จะเหมือนหงส์หลงเหินมัวเพลินหาว                   

เกิดบนดินอย่าถวิลดมกลิ่นดาว                            รักแต่ชาวดินเถิดเกิดจากใจ


        ดื่มเถิดเพื่อนดื่มแด่แม่ยอดรัก            เจ้าของตักและรอยบุ๋มนุ่มเหมือนไหม

เจ้าของแขนแอ่นอุ่นละมุนละไม                เจ้าของไฝเม็ดกลมสีชมพู


        ลืมลักยิ้มริมแก้มแก้วเสียแล้วหรือ     นั่นแหละคือสื่อฝันอันสวยหรู

อย่าลืมตาของน้องที่จ้องดู                       อย่าลืมหูของพี่ที่คอยฟัง


        จำได้ไหมในวันจันทร์ทรงกลด          ดาวทั้งหมดอันงดงามสิ้นความขลัง

มีเดือนเด่นเป็นเอกไร้เมฆบัง                     และเสียงสั่งเซ้าซี้จากพี่ชาย


        สุ้มเสียงสั่งพรรณาว่าชีวิต                 เมื่อครุ่นคิดก็หวนไห้แล้วใจหาย

อันบทบาทแต่ละฉากมีมากมาย                ฉากสุดท้ายปิดลงตรงสิ้นลม


        นี่แนะน้องมองพี่ให้ดีเถิด                   ได้กำเนิดมานี้ก็ดีถม
ชีวิตเหมือนเดือนทรงกลดกำหนดกลม      ต้องซานซมต่อไปใต้ดวงดาว

        ชีวิตนี้มีสองแพร่งแย้งกันอยู่              หนีหรือสู้คดหรือซื่อร้อนหรือหนาว
ไหวหรือนิ่งจริงหรือฝันสั้นหรือยาว            ดำหรือขาวดีหรือเลวเร็วหรือนาน

        แขนทั้งสองของพี่มีเลือดเนื้อ            เจ้าจงเชื่อเถิดว่าพี่กล้าหาญ
มันสมองของพี่มีสายพาน                         ที่จะผ่านไปผูกลูกโม่ใจ

        ก่อนจะดื่มอย่าลืมบุญคุณพระแม่       หยดหนึ่งแด่พสุธาที่อาศัย
เราก็ดื่มดินก็ดื่มปลื้มกันไป                        กตัญญูอยู่ในธรณี

        เพราะว่าพื้นพสุธาปกาศิต                 ให้ชีวิตแจ่มจรัสรัศมี
แผ่นดินย่อมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงอินทรีย์      เหตุฉะนี้แล้วไฉนไม่แทนคุณ

        จากฟากฟ้ามาถึงดินถิ่นมนุษย์         จากสมุทรถึงสุธาชีวาหมุน
เป็นวงเวียนเปลี่ยนภาพบาปและบุญ         นับเนื่องหนุนดั่งเดินทางไปกลางไพร

        ยังไม่ถึงบึงใหญ่ในป่าลึก                  อย่าเพิ่งนึกว่าน้ำนั้นมันจะใส
เพียงผิวนอกหลอกหลอนซ่อนภายใน      มหาภัยใหญ่ล้นอยู่ก้นบึง

        ลืมเสียเถิดความหลังฝังรากจิต        สลัดทิ้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าคิดถึง
ลืมเสน่ห์เวลาหาวและดาวดึงส์                ฟังเสียงซึงเสียงซอส้อศรัทธา

        ในเพลงนั้นบรรยายถึงหายนะ             เศษชีวีที่ขรุขระอนาถา
เกิดกลางดินกินกลางทรายนอนปลายนา   ห่มผืนฟ้าอ้าแขนโอบแผ่นดิน

        น้ำตาหยดรดหญ้าขอบตาปริ่ม            ยังฝืนยิ้มเย้ยยั่วหัวใจหิน
นี่หรือโลกโชคโฉดโทษทมิฬ                     ให้เราดิ้นแดยันกันแทบตาย

        อยากจะด่าความอาภัพที่สับโขก       บ้างเศร้าโศกบ้างหัวร่อเสียงอหาย
คราวชอกช้ำน้ำตานองต้องฟูมฟาย           ยามสบายน้ำลายไหลนัยน์ตาวาว

        ได้ยินเพียงเสียงไชโยและโห่ร้อง       บ้างก็ป้องปากด่ากันฉ่าฉาว
ชีวิตหวานชีวิตขมผสมคาว                         มีเรื่องราวหลายแฉกแตกต่างกัน

        กุหลาบป่าอ่าโอ่โผล่กลีบอวด            มีราคาค่างวดตรงสีสัน
สะเก็ดหินดินทรายไม่สำคัญ                       หากเฉิดฉันอาจเห็นเป็นเพชรนิล

        เมื่อหม่นหมองจองมองรุ้งที่คุ้งโค้ง      ท้องฟ้าโล่งออกอย่างนี้ยังมีศิลป์
สลับรสสลดรักสลักต์จินต์                            ไม่ผิดพิณดิ้นดีดกรีดเสียงครวญ

        ลองมาดูคู่รักกันสักคู่                                ให้นั่งอยู่บนม้าไม้ที่ในสวน
เฝ้าพร่ำพรอดออดพรอดแอบแนบเนื้อนวล       ต่างปั่นป่วนป้อแป้แพ้แรงใจ

        สมมติว่าพระจันทร์นั้นกระจ่าง                แสงสว่างสร้างสรรค์อันไสว
แล้วหอมกลิ่นอันมีค่าจากมาลัย                     หวีดลองไนระงมป่ามาอวยพร

        ปัจจุบันทันใดให้ประหลาด       จันทรคราสจับเต็มคราบเป็นภาพหลอน
มืดมัวดินสิ้นดินฟ้าพนาดอน             เขาและหล่อนทำอย่างไรไม่พ้นกลัว

        สลับรักสลักพร่ำด้วยคำพ้อ       ปากเช่นนี้หากพี่ขอจะได้ไหม
แก้มพริ้มเพราเจ้าเก็บไว้ให้กับใคร     เพราะเหตุใดจึงหลบไม่สบตา

        ต่อจากนั้นพระจันทร์แจ่มแอร่มหรู     เพราะราหูคายจันทร์อันสลัว
ทั้งสองก็หัวร่อคิกระริกระรัว                       เริ่มยิ้มหัวเล่นจ้ำจี้พิรี้พิไร

        เงยขึ้นมองจ้องพี่นี้อีกครั้ง        เห็นหรือยังว่าพี่รักเจ้าหนักหนา
ไม่รู้โรยรู้ห่างรู้ร้างรา                         มาเถิดมามาเห่กล่อมด้วยอ้อมทรวง

        อยากอุทิษชีวิตรักนี้สักครั้ง      สมมุติดังของมีค่ามาบวงสรวง
แต่ไม่เชื่อความขลังเทพทั้งปวง      จึงต้องหวงห่วงประทับไว้กับเรา

        เก็บความชังขังความรักไว้สักครู่     หันมาดูเมรัยในเหยือกเผา
รสแปร่งปร่าซ่าซึมดื่มแล้วเมา                 พอดื่มเหล้าแล้วหันหน้ามาคุยกัน

        มีส่วนหนึ่งซึ่งสดใสในภาพพจน์      เทพกำหนดชื่ออีเด็นเป็นสวนขวัญ
มีผลหมากรากไม้ไว้ครบครัน                   แต่กระนั้นก็ดียังมีงู

        ในระหว่างเทพธิดากับซาตาน         เกิดเหตุการณ์อัปยศและอดสู
"แอปเปิลนี้ผลสีทองลองชิมดู                 แล้วจะรู้รสชาติอำนาจมัน"

        แอปเปิลบาปสาปสรรเกิดปัญหา      ก่อกำหนัดขัดบัญชาแห่งสวรรค์
ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเกิดเรื่องกัน    ต่างพัวพันต่อไปในแผ่นดิน

เกลียดความรักรักความเกลียดอยากเหยียดหยาม    เฉกโซ่ล่ามอินทรีย์อย่างมีศิลป์     
เอ้า! อย่างงรีบส่งถ้วยจะช่วยริน                                หลังดื่มกินแล้วสังสรรค์กันอีกที

        ดูโน่นซีผีเสื้ออะเครื้ออะคร้าว         ปีกแพรวพราววาววับสลับสี
โฉบปีกว่อนร่อนปีกร่าเฉี่ยวมาลี              สัตว์ก็มีชีวิตไม่ผิดคน

        ในระหว่างนรกอันหมกไหม้            กับสวรรค์อันแจ่มใสในเวหน
มีสิ่งหนึ่งซึ่งซื่อตรงและคงทน                คือวงวนแห่งชีวิตอนิจจา

        ลองรำลึกนึกไปสมัยเด็ก                ตัวเล็กเล็กยังเริ่มรักเป็นหนักหนา
รักเผ่าพงศ์วงศ์วานรักมารดา                  รักตุ๊กตาอาหารและบ้านเรือน

        โตขึ้นหน่อยค่อยค่อยรู้ดูตัวอย่าง    รักแต่งร่างแต่งตัวกลัวฟั่นเฝือน
รักเมฆขาวดาวหรูชอบดูเดือน                 แล้วรักเพื่อนรักพรรครักนานา

        ครั้นหนุ่มสาวคราวประจักษ์รักทางเพศ    ข้ามขอบเขตไปกระสันกับตัณหา
น้องรักพี่พี่รักน้องทั้งสองรา                             ชื่นชีวันขวัญชีวาว่าตามกัน

        เมื่ออายุลุถึงวัยได้เป็นหลัก                      เริ่มรู้จักรักใหม่ในความฝัน
รักวิญญาณศรัทธาสารพัน                               รักสวรรค์สายลมยมนา

        ครั้นแก่เฒ่าจวนเข้าโลงโยงใยรัก             เริ่มประจักษ์อนิจจังของสังขาร์
รักสมบัติมรดกตกทอดมา                                รักชีวาของตัวกลัวจะตาย

        จำไว้เถิดเกิดเป็นคนไม่พ้นรัก                           วัฎจักรผลักล่ามหลายความหมาย
รักความงามหยามความเกลียดเหยียดความอาย     มีลวดลายหลายกระบวนชวนมึนเมา

        ฟังเขาร้องมองเขาเล่นเห็นเขาสุข       ไม่มีทุกข์ไม่มีโศกโลกของเขา
ครั้นหันหน้ามามองตัวของเรา                     ไม่ผิดเงาที่โลดแล่นเป็นพิธี...

        ตะแลงแกงแห่งชีวิตไม่ผิดเพี้ยน          ย่อมสับสนวนเวียนเปลี่ยนวิถี
ไม่คำนึงถึงส่วนตัวชั่วหรือดี                         ขอให้มีการสิ้นสุดยุติกัน 
  
      กลางแสงแดดแผดกระพริบระยิบระยับ         มนุษย์ขับรถแข่งอย่างแข็งขัน
เหงื่อจะไหลไคลจะหนาหน้าจะมัน                     เกมพนันอันเพลิดเพลินดำเนินไป

        กลางแสงแดดชาวดินสิ้นแรงร้อน            เพราะแสนเมื่อยเหนื่อยอ่อนนอนหลับใหล
จบบทบาทประจำวันอันหนักใจ                        หลับฝันไกลใต้น้ำค้างกลางแสงดาว

        กลางแสงเทียนริบหรี่สีเหลืองสด             เสียงนักพรตนักบวชสวดกันฉาว
ถ้าทำดีดีจะเห็นเป็นเรื่องราว                            ครั้นถึงคราวทำชั่วจะมัวมน..

       แสงแดดพราวดาวพรายปลายเปลวเทียน      ต่างวกเวียนสอดสลับกันสับสน
เก่งหรือโง่โซหรือสวยรวยหรือจน                           แสงใดดลให้คนแผกแตกต่างกัน

        ช่างมันเถิดจงมาดื่มลืมให้หมด              ถือเป็นกฏบวกลบความขบขัน
ใครจะสุขใครจะโศกช่างโลกมัน                   เขาเหล่านั้นมีราคาค่าแสดง

        ทราบบ้างไหมไยแหล่งโลกจึงโศกเศร้า         ชีวิตเฉาเหงาหงอยเศร้าสร้อยแฝง
นับแต่คลอดออดโอยระโหยแรง                            จนลุแหล่งแห่งสุดท้ายตายจากกัน

        เมื่อสิ้นโชคโลกสลดหมดความสุข           บทบาททุกข์ทับทวีเพิ่มสีสัน
กลีบกุหลาบคราบน้ำตารอยจาบัลย์                   ดุจกังหันแห่งชีวิตลิขิตเรา

        มนุษย์เงียบเยียบหยัดสงัดสงบ          สัตว์สยบซบโศกโลกอับเฉา
ต้นไม้ซมลมกำดัดพัดแผ่วเบา                   สายน้ำเศร้าเสียดสะอื้นซัดพื้นทราย

        เมฆลอยเลื่อนเหมือนหลงเปลี่ยวเกลียวชีวิต       ดาวดวงนิดกะพริบพร่ำน้ำตาฉาย
ฟ้าสีเทาเขาสีเขียวยังเดียวดาย                                    แม้พระพายยังหวิวหวีดกรีดกำนัล

        โลกทั้งโลกโศกสลดกำสรดสุด         เมื่อมนุษย์มิหยุดบาปยังหยาบหยัน
หลงอบายหลายอย่างต่างๆ กัน                 จึงสวรรค์สรรสลดให้ทดแทน

        หากมนุษย์หยุดกิเลสประเภทบาป        จะพบภาพสุดประเสริฐบรรเจิดแสน
ดอกไม้บานเดือนรุ่งยูงรำแพน                       ตลอดแดนตั้งแต่ดินถึงถิ่นดาว

        แมลงปอก้อร่อก้อติกขยิกขยัน        นกกินปลาลาลันสัญจรหาว
ต้นหูกวางกิ่งก้านสะท้านกราว                 เสียงหนุ่มสาวพะเน้าพะนอกลางอ้อคา

        การกำหนดบทรักมักเหมาะสม               ดังวงกลมสมดุลตามประสา
พรหมลิขิตขีดพิกัตเป็นอัตรา                         มีความว่าหญิงชายตายด้วยกัน

        เมื่อรักแท้สุดแต่ว่าชะตารัก            มันจะผลักลงนรกวกสวรรค์
จะเคลียคลอหัวร่อร่าหรือจาบัลย์           สุดแต่กรรมนำผันตามครรลอง

         ฝ่ายชายให้ได้แต่อกแผ่กว้าง        แขนสองข้างร่างมั่นมันสมอง
ฝ่ายหญิงให้พรหมจารีที่ชายปอง           รวมทั้งห้องของหัวใจไม่หวงเลย

        ชายรักหญิงหญิงรักชายตายด้วยกัน         ช่างน่าขันชีวิตนิจจาเอ๋ย
ยามรักกันวันก็ชื่นคืนก็เชย                                ต่างสังเวยแด่ดินฟ้าด้วยสาบาน

        เริ่มที่ตาแล้วหลั่งไหลไปที่จิต            เฝ้าพิศพิศพร่ำพร่ำคำหวานหวาน
รักรักรักต่อไปได้นานนาน                         เฝ้าขานขานคิดคิดชีวิตคน

        รักจะสู้ไยไม่สู้ดูสักตั้ง                        มัวแต่รั้งหวังแต่รอไม่ก่อผล
เอาแต่บ่นก่นแต่พร่ำคำของตน                 ว่าโชควนชีพเวียนไม่เปลี่ยนทาง

        รักจะกล้าไยไม่กล้าหันหน้าสู้            มัวหดหู่ทำไมให้หมองหมาง
อันเล่ห์หลอกซอกซุ้มหรือหลุมพราง        จงแผ้วถางด้วยความหวังกำลังแรง

        อย่าโศกเศร้าแม้นเรานี้มีเพียงแขน     ถึงอ้อนแอ้นอ่อนแอแม้ไม่แข็ง
จงโอบรัดศรัทธามาสำแดง                        แล้วแจกแจงแจ้งจุดยุติธรรม

        อย่าโศกเศร้าแม้นเรานี้มีเพียงขา        ถึงผอมโซโสภาน่าถลำ
จงก้าวหน้ากล้าสู้ประตูกรรม                        เพื่อแน่วนำเจียระไนใจมนุษย์

        แขนทั้งสองของเจ้าจงเฝ้าสู้                ขาทั้งคู่ย่างไปไม่ยอมหยุด
แขนจะล้าขาจะล้มไม่ซมทรุด                      สู้ให้สุดศักดิ์ศรีของชีวิต

        ที่ไกลโพ้นโน่นประทีบชีพช่วงโชติ      แสงรุ่งโรจน์รำไรแจ่มไพจิตร
 ที่ไกลโพ้นโน่นเสียงสรวลของมวลมิตร      ก้าวอีกนิดไกลอีกหน่อยค่อยพักพิง

     เกลียดอะไรก็เกลียดได้หากไร้เกียรติ       แต่อย่าเหยียดเกลียดเหล้าและผู้หญิง...
เพราะชื่นฉ่ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์จริง                   หลอมทุกสิ่งอันสดสวยเข้าด้วยกัน

        เชื่ออะไรใครเขาบอกหลอกให้เชื่อ        เอ้า! ดื่มเพื่อความงามและความฝัน
หญิงครองเราเหล้าครองโลกโชคอนันต์       มาประชันบทนักสู้ผู้แสดง

        ต่อให้เป็นทะเลทรายสายน้ำพุ               ร้อนระอุเย็นยะเยียบเปรียบน้ำแข็ง
ไม่ทรุดซมล้มระทดเพราะหมดแรง                จะขอแข่งสู้เป้าหมายตายหรือเป็น

        อันกงเกวียนเวียนวงเป็นกงกรรม            กลางสูงต่ำท่วงทำนองมองไม่เห็น
แต่ตรึงตราจารึกผนึกเซ็น                               ดุจแผลเป็นติดตัวชั่วและดี

        แน่ะ ! เห็นไหมดวงตะวันนั้นลาลับ          แสงสลับเป็นฉัพพรรณรังสี
ตามกำหนดหมดทิวาเริ่มราตรี                        หน่อยคงมีกลุ่มดาวพราวอัมพร

        ทางช้างเผือกผีพุ่งไต้คล้ายเพชรรูป        สะเก็ดวูบสว่างวาบดั่งภาพหลอน
ดูแวววาวพราวพร่างทางโคจร                        มะก่อนนอนดื่มเข้าไปดื่มให้เมา

        แด่พธูผู้ผ่านไปในอดีต                            แด่สังคีตแห่งสินธูและภูเขา
แด่ความฝันอันลำพองของพวกเรา                 ดื่มหมดแล้วเหลือแก้วเปล่า เอ้า! คว่ำลง...




William The Conqueror หรือ William I (ประมาณ 1028-1087)


William The Conqueror หรือ William I : พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 หรือที่รู้จักในพระนามว่า " วิลเลี่ยมผู้พิชิต " ดยุกแห่งนอร์มังดี  ผู้เป็นขุนนางที่อำนาจในฝรั่งเศส  และต่อมา...วิลเลี่ยมได้ยกทัพเรื่อไปอังกฤษเพื่ออ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์อังกฤษ (หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพในปี 1042)  และวิลเลี่ยมได้รบชนะ แฮโรลด์ที่ 2 (Harold II) ในสมรภูมิที่เฮสติสส์ (Battle of Hastings) ในปี ค.ศ.1066  ซึ่งถือว่าเป็นจุดจบของการปกครองของพวกแองโกลแซกซอนในอังกฤษ  และวิลเลี่ยมยังได้ทำสงครามกับสก็อตแลนด์และเวลส์ด้วย


ภาพ  วิลเลี่ยมผู้พิชิตในการรบที่เฮสติสส์

วิลเลี่ยมได้สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษ ในปี 1066  ถือเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์นอร์มัน (Norman dynasty) และพระองค์ได้นำระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) มาสู่อังกฤษ  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมอังกฤษอย่างมากมาย  และเชื่อมโยงให้อังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปตะวันตกมากขึ้น  และทรงให้มีการสำรวจที่ดินและสำมะโนประชากรไว้  ในหนังสือบันทึกทะเบียนราษฎร์ดูมสเดย์ (Domesday Book) เพื่อสะดวกในการจัดเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงาน  ทรงสร้างปราสาทต่างๆมากมายทั่วอังกฤษ  อันเป็นสัญลักษณ์ของระบอบศักดินาอันรุ่งเรือง


ภาพ  ดินแดนของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 ในพื้นที่สีชมพู

เมื่อพระเจ้าวิลเลี่ยมสิ้นพระชนม์  ปัญหาในการสืบราชสมบัติก็เกิดขึ้นทันที  โดยมีการแบ่งกันระหว่างโอรสของพระองค์  กล่าวคือ  เจ้าชายโรเบิร์ต (Robert Curthose) โอรสองค์ใหญ่ได้รับแคว้นนอร์มังดีไป  ขณะที่ตำแหน่งกษัตริย์อังกฤษกลับตกเป็นของเจ้าชายวิลเลียม  ผู้มีฉายาว่า " วิลเลี่ยมหน้าแดง " (William Rufus) และโอรสของเจ้าชายเฮนรีได้รับเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น

Ibn Gabirol, Solomon Ben Judah : โซโลมอน เบน ยูดาห์ (ประมาณ ค.ศ.1021-1057)


Ibn Gabirol, Solomon Ben Judah : โซโลมอน เบน ยูดาห์  กวีชาวสเปน ยิว  และนักปรัชญาสำนักเพลโตใหม่ที่มีอิทธิพลทางความคิดอย่างกว้างขวางในยุคสมัยนั้น  ดังจะเห็นได้จาก....

งานเขียน ในเรื่อง Fons Vitæ หรือ "น้ำพุแห่งชีวิต" ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอระบบปรัชญาและคำสอนของสำนักเพลโตใหม่  ในเรื่อง...สสาร และ รูปแบบ  นั่นเอง 
โดยอาจสรุปได้ง่ายๆ ดังนี้
  • (1) สรรพสิ่งทั้งหมดในโลกนี้  ถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบ และ สสาร
  • (2) โลกของประสาทสัมผัส หรือ สสาร เป็นสิ่งที่จำลองจาก..โลกเหนือประสาทสัมผัส หรือ รูปแบบ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันเสมอ  ผ่านทางพระเจ้าที่เป็นต้นเหตุให้ทุกสรรพสิ่งบังเกิดขึ้น
  • (3) สสารและรูปแบบมีอยู่เสมอในทุกที่  ทุกภาวะ  ทั้งในความเป็นอยู่  เปลี่ยนรูปไป และในการเกิดใหม่ของสสาร โลกทางกายภาพ หรือ จิตวิญญาณ เป็นต้น

อีกทั้ง  บทลำนำชื่อ " มงกุฏพระราชา " ที่มีชื่อเสียงของGabirol  รวมทั้งเรื่องการสารภาพบาป  ที่ในยุคต่อมา...ได้มีผู้นำไปดัดแปลงใช้ประกอบเป็นพิธีสารภาพบาป และ ถือศีลอดของชาวยิว

ในตำนาน Gabirol ถูกฆ่าตายและฝังไว้ใต้รากของต้นมะเดื่อ ในปี คศ. 1058  ซึ่งซากศพของเขาได้ทำให้ผลมะเดือมีรสความหวานพิเศษ  จนเป็นที่อัศจรรย์ของคนทั่วไป  และเป็นเหตุให้นำไปสู่การจับตัวฆาตกรที่ฆ่าเขาได้ในภายหลังอีกด้วย

วาทกรรม : " ตราบเท่าที่ถ้อยคำยังไม่ได้ถูกกล่าวออกไป  ท่านคือนายของมัน  แต่เมื่อนท่านกล่าวออกไปแล้ว  ท่านคือทาสของมัน "

Iba Sina หรือ Avicenna (ประมาณ ค.ศ.980-1037)


Iba Sina หรือ Avicenna อะบูอาลี อัลฮูซัยน์ บินอับดิลลาฮ์ อิบนุซีนา หรือ แอวิเซนนา  นักปราชญ์  นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ชาวเปอร์เซีย  ผู้มีบทบาทสำคัญในด้านการสาธารณสุขในเปอร์เซีย สมัยยุคทองของรัฐอิสลาม  ซึ่งเขาได้เขียนหนังสือตำราการแพทย์  ปรัชญา...และอื่นๆอีกมากมาย  ที่ได้รวบรวมความรู้จากกรีก  เปอร์เซีย  เมโสโปเตเมียและอินเดีย  ไว้อย่างเป็นระบบ  แอวิเซนนาเริ่มการแพทย์แบบทดลองที่นำไปสู่การค้นพบเชื้อโรค..หลายชนิด  และเขาเป็นผู้ริเริ่มใช้วิธีกักกันโรคและผู้ป่วยด้วย  ถือว่าเป็นบิดาของการแพทย์ในยุกแรกๆ  ที่เริ่มมีองค์ความรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น  ตำราของแอวิเซนนาได้รับการสอนในมหาวิทยาลัยในยุคต่อมาจนถึงปี ค.ศ.1650

ภาพ  สำเนาตำรา Canon of Medicine ของแอวิเซนนา

ผลงานที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือชุด Canon of Medicine ที่แอวิเซนนาได้เขียนและประยุกต์มาจากทฤษฎีของฮิปโปเครติส  อริสโตเติล  ไดออสคอร์ไรด์  กาเลน และบุคคลสำคัญในวงการแพทย์อื่นๆ โดยเขาได้สอดแทรกทฤษฏีและการสังเกตของเขาเองลงไปด้วย

หนังสืออีกชุดของแอวิเซนนาเป็นเนื้อหาทางด้านเภสัชวิทยาและพืชสมุนไพร ถือเป็นตำราพื้นฐานแพทย์ที่สำคัญของโลกมุสลิมและคริสเตียน แต่ในภายหลัง...ทฤษฎีของเขาก็ถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงเมื่อ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ได้ปฏิเสธตำรากายวิภาคของเขา และพาราเซลลัสได้เผาสำเนาตำรา Canon of Medicine ที่ใช้สอนกันในสวิสเซอร์แลนด์ และวิลเลียม  ฮาร์วีย์นายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ  ได้ล้มทฤษฎีของเขาในเรื่องการค้นพบระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายของคน

ภาพ แบงค์ทาจิกีสถานโซโลมอน  ที่มีภาพของแอวิเซนนา

แต่กระนั้น  เขาก็ยังเป็นผู้บุกเบิกงานเขียนในหลายๆด้านด้วย เช่น ปรัชญา  ดาราศาสตร์  การเล่นแร่แปลธาตุ  ภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา  จิตวิทยา  ศาสนาอิสลาม  ตรรกะ  คณิตศาสตร์  ฟิสิกส์และบทกวี...อีกมากมาย

แอวิเซนนาเสียชีวิตในมิถุนายน ค.ศ.1037 ด้วยวัยเพียง 58 ปี  ในเดือนรอมฏอน  และ ร่างของเขาถูกฝังอยู่ใน Hamadan ประเทศอิหร่าน

วาทกรรม : " เนื้องจากทุกสิ่งล้วนมีสาเหตุที่มา  ความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ไม่สามารถได้มาหรือไม่อาจสมบูรณ์ได้  นอกเสียจากเราจะรู้สาเหตุที่มาของมัน "

Murasaki Shikibu : มุระซะกิ ชิกิบุ (ประมาณ ค.ศ.976-1026)


Murasaki Shikibu ; มุระซะกิ ชิกิบุ ธิดาในเชื้อสายตระกูลฟุจิวะระ  เธอเป็นนักเขียนนวนิยายและกวีสตรีชาวญี่ปุ่น  ผู้เขียนเรื่องตำนานเกนจิ : Genji  Monogatari ในปี ค.ศ.1010  ที่ถือว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิคที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น  และอาจเป็นนิยายร้อยแก้วเรื่องแรกของโลก  และรวมทั้ง " มุคุระโนะโซซิ " (Makura-no-sOshi) ที่เรียกว่า " หนังสือข้างหมอน " ซึ่งวรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษรคะนะ

มุระซะกิทำงานอยู่ในราชสำนักในสมัยเฮอัน  ในราวปีคันโคที่ 2 ( Kanko 2 ) หรือ ราวปี ค ศ.1005 โดยมุระซะกิได้รับตำแหน่งให้ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของ โชชิ (Soshi)บุตรสาวของฟุจิวะระ โนะ มิจินะงะ ( Fujiwara Michinaga ) ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่  ที่ต่อมา โซชิ ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีในจักรพรรดิอิจิโจ 


ภาพ  ฉากหนึ่งในนวนิยายเรื่องตำนานเกนจิ

ยุคสมัยเฮอัน  นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งออกเป็น 2 ช่วงสำคัญ  คือ  ยุคสมัยเฮอันตอนต้น ค.ศ.782-967  และยุคเฮดันตอนปลาย ค.ศ.967-1167  ซึ่งยุคสมัยเฮอันนับเป็นยุคทองของประเทศญี่ปุ่น ทั้งทางศิลปะและวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองจนถึงขีดสุด  โดยได้มีการพัฒนาปรับปรุงวัฒนธรรมต่างๆที่หยิบยืมมาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถังและลัทธิเต๋า  ให้กลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัวแบบของชาวญี่ปุ่น และ " เฮอัน"  แปลว่า " ความสงบสันติ"

AI - Khwarizmi, Muhammad Ibn Musa (ประมาณค.ศ.780-850)


AI - Khwarizmi, : อัล เคาะวาริสมี หรือ Muhammad Ibn Musa มูฮัมหมัด อิบนุ มูซา  นักคณิตศาสตร์  นักดาราศาสตร์ชาวอาหรับในกรุงแบกแดด (Baghdad) ในสมัยยุคทองทางปัญญาและวิทยาศาสตร์ของอิสลาม (ปี 813-833) โดยชาวมุสลิมได้เปิดประตูทางวิชาการออกอย่างกว้างขวาง  เป็นผลทำให้เกิดนักคิดมุสลิมมากมาย (ยุคเดียวกับ Euclid นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก)  มูฮัมหมัด มูซาได้ทำงานในฐานะนักวิชาการที่ House of Wisdom  ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดย Harun al-Rashid  โดยมูฮัมหมัด มูซาได้เรียบเรียงหนังสือคณิตสาตร์ไว้มากมาย...และรวมทั้งการวิเคราะห์ผลงานของนักคณิตศาสตร์รุ่นก่อนๆเขาอีกด้วย  มูฮัมหมัด มูซาเป็นผู้คิดค้นวิชาพีชคณิต (Algebra) ซึ่งหนังสือของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาละตินในคริสตศวรรษที่ 12  และช่วยเชื่อมโยงคณิตศาสตร์ของฮินดู  อาหรับและกรีกเข้าด้วยกัน  และเป็นพื้นฐานการพัฒนาคณิตศาสตร์ในยุโรปในเวลาต่อมา

ภาพ บางส่วนของตำราพีชคณิต ของ มูฮัมหมัด อิบนุ มูซา
ผลงาน

1)เขียนตำราชื่อ กิตาบ ซูรอต อัล อัรฎ (Kitab Surat al Aeb) เป็นตำราเกี่ยวกับแผนที่เล่มแรกในคริศตวรรษที่ 9

2)เขียนตำราพีชคณิตที่ชื่อ หิซาบ อัล ญับร วะ อัล มุกอบะละฮ (Hisab al Jabr we al Muqabalah) หรือ
(Algebra) ที่หมายถึง  การคืนค่า (Restoring) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้ค่าทั้งสองข้างของสมการมีค่าเท่ากัน  เป็นต้น

ติดตามผ่าน FACEBOOK

Video Of Week : เส้นทางนักบุกเบิก สตีฟ จ๊อบส์

Live Currency Cross Rates


The Forex Quotes are powered by Investing.com.

ไขปริศนาคดีฆาตกรต่อเนื่องโดย นักฆ่าโซดิแอค

โพสต์แนะนำ

Anton Van Leeuwenhoeh : ลีเวนฮุ๊ค (ค.ศ.1632-1723)

Anton Van Leeuwenhoeh : ลีเวนฮุ๊ค  นักชีววิทยาชาวดัชท์  ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น " บิดาแห่งจุลชีววิทยาการ " ( the Father of M...

บทความที่ได้รับความนิยม

Kategori

สนับสนุนเว็บไซด์

หนังคาวบอยดี.. ดูฟรี ออนไลน์

Kategori