คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

Sir Isaac Newton : เซอร์ ไอแซก นิวตัน (ค.ศ.1642-1727)



Sir Isaac Newton : เซอร์ ไอแซก นิวตัน  นักปรัชญาธรรมชาติ  นักคณิตศาสตร์และนักฟิสกส์ชาวอังกฤษ  ผู้วางรากฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  ในช่วงปี 1665-1666  และได้รับการยกย่องให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธพลมากที่สุดของโลกนี้

เซอร์ ไอแซก นิวตัน  เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1643 ที่วูลส์ธอร์พ (Woolsthorpe) หมู่บ้านเล็กๆในชนบท..เขตลินคอล์นเชียร์ (Lincolnshire) ประเทศอังกฤษ  ในครอบครัวเจ้าของที่ดินที่ไม่ใหญ่โตนัก  โดยบิดาได้เสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน  เล่ากันว่า  เมื่อแรกเกิดนิวตันมีตัวเล็กมาก  เพราะเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด  ซึ่งมารดานางฮานนาห์ อายส์คัฟ (Hannah Ayscough) ไม่คิดว่าเขาจะรอดชีวิตได้  เธอกล่าวว่า..เขาตัวเล็กกระจ้อยร่อย..จนสามารถเอานิวตันไปใส่ไว้ในเหยือกควอร์ทได้ (ขนาดประมาณ 1.1 ลิตร)  แต่กระนั้น..นิวตันก็รอดชีวิตมาได้  และเมื่อเขาอายุ 3 ขวบ  มารดาของเขาก็แต่งงานใหม่  และทิ้งนิวตันไว้ให้มาร์เกรีย์ อายส์คัฟ (Margery Ayscough) คุณยายของนิวตันเป็นผู้เลี้ยงดู  ซึ่งนั้น..ทำให้เขาไม่ค่อยลงรอยกัน..กับมารดาและพ่อเลี้ยงเรื่อยมา  ในวัยเด็ก..นิวตันค่อนข้างเป็นเด็กบอบบาง  เขาไม่ชอบเล่นอะไรที่ต้องใช้กำลังกายมากนัก  แต่เขามักประดิษฐสิ่งต่างๆไปเล่นกับเพื่อนๆเสมอ  นอกจากนี้เขายังสามารถปั้นรูปจำลองต่างๆได้ดีอีกด้วย

เมื่อนิวตันอายุ 12 - 17 ปี  เขาเข้าเรียนที่คิงส์สกูล แกรนแฮม (King's School Grantham) ต่อมาในปี 1659  เมื่อมารดาเป็นหม้ายครั้งที่ 2  นิวตันต้องกลับบ้านเกิด..และถูกมารดาบังคับให้..เขาทำงานในฟาร์ม  ซึ่งได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาเก่า  แต่นิวตันเกลียดการเป็นชาวนา  ซึ่งครูใหญ่ที่คิงส์สกูลได้ช่วยพูดโน้มน้าวให้มารดาของนิวตัวส่งเขากลับไปเรียนต่อให้จบ  และแรงผลักดันครั้งนี้เอง  ส่งผลให้นิวตันกลายเป็นนักเรียนที่ขยันขันแข็งและมีผลการเรียนสูงที่สุด..ในคิงส์สกูล

ภาพ  การกระจายของแสงผ่านแท่งแก้วปริซิม (Prism) จนเกิดเป็นแสงสีรุ้ง (Spectrum)

ในปี ค.ศ.1661  นิวตันได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยทรินิตี้ เคมบริดจ์ (Trinity College Cambridge) ในฐานะซีซาร์ (sizar : คือทุนเรียนแบบที่นักศึกษาต้องทำงานไปด้วย..เพื่อแลกกับที่พัก..อาหารและค่าธรรมเนียม) โดยวิทยาลัยในยุคนั้น..ยังคงใช้การเรียนการสอนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของอริสโตเติล..เป็นหลัก  ซึ่งนิวตันไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่..แต่เขากลับชอบศึกษาในแนวคิดของนักปรัชญาสมัยใหม่ เช่น เดส์การ์ตส์ และนักดาราศาตร์ เช่น โคเปอร์นิคัส, กาลิเลโอและเคปเลอร์มากกว่า  ดังนั้น  ในช่วงเวลา..ที่นิวตันศึกษาในเคมบริดจ์จึงไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นมากนัก  กระทั้ง..จบการศึกษาได้รับปริญญาตรีในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1665  และในปี ค.ศ. 1664-65 ก่อนที่นิวตันจะได้รับปริญญาโท  ก็เกิดกาฬโรคระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วกรุงลอนดอน  ทางมหาวิทยาลัยจึงถูกสั่งปิด  ดังนั้น  เหล่านักศึกษาจึงต่างแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาเดิม..ซึ่งนิวตันก็ได้เดินทางกลับวูลส์ธอร์พบ้านเกิด  และในช่วงเวลา 2 ปีสำคัญ  ที่นิวตันได้ศึกษาด้วยตัวเองที่บ้านในวูลส์ธอร์พ..กลับได้สร้างคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่..ให้กับวงการวิทยาศาสตร์โลก..เพราะเขาสามารถค้นพบทฤษฏีที่สำคัญ 3 เรื่องด้วยกัน

ผลงานสำคัญ :  ชิ้นแรก..นิวตันได้ค้นพบวิชาคณิตศาสตร์แขนงใหม่ที่เรียกกันว่า " แคลคูลัส " (Calculus) ซึ่งก่อนหน้านี้  กาลิเลโอได้แสดงวิธีหาแรงจากการเคลื่อนที่ของวัตถุไว้เพียงคราวๆเท่านั้น  ที่ต่อมาเดส์การ์ทส์ได้เอาสมการทางพีชคณิต..มาช่วยในการคำนวณเกี่ยวกับจุดและเส้นตามวิธีการของกาลิเลโอนั้น..ให้ง่ายเข้า  แต่ก็ไม่ได้อธิบายใว้อย่างละเอียด..มากนัก  กระทั้ง..ในปี ค.ศ.1665 ที่นิวตันได้แสดงถึงวิธีคำนวณเกี่ยวกับเส้นโค้งและพื้นที่  ที่เขาเรียกว่า " Method of fluxions " ซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ " Differential and Integral Calculus " ซึ่งเขาได้ทดลองคำนวณเกี่ยวกับพื้นที่ Hyperbola อย่างละเอียด..จนได้ทศนิยมถึง 52 ตำแหน่ง  นอกจากนี้..นิวตันยังค้นพบทฤษฏีทวินาม (Binomial Theorem) และวิธีการกระจายอนุกรม (Method of expression) ของพีชคณิตอีกด้วย

ผลงานชิ้นที่สอง  นิวตันได้ค้นพบธรรมชาติของแสง คือ ในวันหนึ่ง..เมื่อเขากำลังทดลองฝนเลนส์เพื่อจะทำเป็นกล้องโทรทัศน์ใช้ดูสิ่งต่างๆ โดยไม่ให้มีสีแทรก  เขาได้พบว่า..เมื่อเอาแท่งแก้วรูปสามเหลี่ยม (Prism) ในห้องที่มืดสนิท  ให้แสงผ่านรูเล็กๆของฝาผนังเข้ามาตกกระทบบนแท่งแก้วปริซิม..เมื่อแสงทะลุผ่านแท่งแก้วปริซึม  แสงแดดจะถูกขยายออกเป็นแสง 7 สี ได้แก่ สีม่วง, คราม, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง, แสดและสีแดง ที่เรียกกันว่าสีรุ้ง (Spectrum) ซึ่งนิวตันได้พยายามอยู่นาน..ที่จะทำให้เลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์..ปราศจากสีรุ้งหรือสีแทรก  แต่ในที่สุด  เขาก็พบว่าไม่สามารถทำได้สำเร็จ  ถ้า..เขายังจะสร้างกล้องโทรทัศน์โดยใช้เลนส์แบบหักเหแสงอยู่  ดังนั้น  เขาจึงหันไปสร้างกล้องโทรทัศน์แบบสะท้อนแสงแทน  โดยใช้เลนส์เว้าทำหน้าที่แทนเลนส์วัตถุ  ส่วนเลนส์ตาใช้คงใช้เลนส์นูนตามเดิม  ซึ่งนิวตันได้สร้างกล้องโทรทัศน์ขนานยาว 6 นิ้ว  ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของกระจกเว้า 1 นิ้ว และกำลังขยาย 40 เท่าได้สำเร็จ  ซึ่งกล้องโทรทัศน์ของนิวตันได้กลายต้นแบบ  ที่ต่อมา..ได้ถูกพัฒนาเป็นกล้องโทรทัศน์ขนิดหักเหแสงในปัจจุบันนี้  เช่น  กล้องพาราโบลา (Parabolar) ขนาดเส่้นผ่าศูนย์กลาง 200 นิ้ว ของหอดูดาว California Institute of Technology บนยอดเขาพาโลมาร์ (Mount Palomar) ในแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น

หลังจากประสบความสำเร็จในการค้นคว้าเกี่ยวกับแสงอาทิตย์แล้ว  ในปี ค.ศ.1667  นิวตันได้รับเชิญเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์แคลคูลัสที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  และได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตในปี ค.ศ.1672  และเป็นประธานราชสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งลอนดอน (Royal Society) ในปี ค.ศ.1703 และเขายังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการโรงกษาปณ์ในปี 1699 ด้วย  แต่ถึงกระนั้น..ฐานะของนิวตันก็ไม่ได้ร่ำรวยขึ้น..อย่างที่คนทั่วๆไปคิด  เพราะเขาได้ใช้จ่าย..รายได้ส่วนใหญ่..หมดเปลืองไปในการศึกษาและทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่ตลอดเวลา

ภาพ  ต้นฉบับหนังสือ " Principia " ของนิวตัน ในปี ค.ศ.1667

ผลงานชิ้นที่สาม  นิวตันได้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง (Law of Gravitation) คือ ในคืนวันหนึ่ง..ที่จันทร์เต็มดวง  และท้องโปล่งสวยงามมาก  นิวตันกำลังนั่งชมจันทร์อยู่.,และครุ่นคิดไปด้วยว่า..เหตุใดหนอ ?  ดวงจันทร์จึงต้องหมุนรอบโลกด้วย  ในทันใด  เขาก็ได้ยินเสียงลูกแอ็ปเปิลตกลงสู่พื้นดิน..จึงเกิดคำถามในใจขึ้นว่า..ทำไม ?  แอ็ปเปิลจึงไม่ลอยขึ้นข้างบนบ้าง ?  และแรงใด..? ที่กระทำให้ลูกแอ็ปเปิลตกลงพื้น ดังนั้น  นิวตันจึงเริ่มทดลอง..โดยเอาก้อนหินเล็กๆผูกไว้ที่ปลายเชือกข้างหนึ่ง  ส่วนอีกปลายหนึ่งใช้มือจับไว้..แล้วแกว่งโดยแรง  ปรากฏว่าก้อนหินนั้นหมุนไปได้รอบๆตัวของเขา..โดยไม่หลุดลอยไป  จากการทดลองนี้เอง  ที่ทำให้เขาได้ความคิดว่า..ที่ก้อนหินไม่หลุดลอยออกไป..ก็เพราะแรงดึงที่ปลายเชือกนั่นเอง  ดังนั้น  เขาจึงสรุปได้ว่า..เหตุที่ลูกแอ็ปเปิลตกลงสุ่พื้นดิน..ก็เนื่องจากแรงดึงดูดของโลก  ซึ่งเป็นแรงเดียวกันที่ " ดึง " ดวงจันทร์เอาไว้ให้โคจรรอบโลกเป็นวงรี  และอธิบายอีกว่า..วัตถุต่างๆในเอกภพต่างก็มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน  โดยแนวคิดนี้..มีผลคำนวณที่ยืนยันให้สมบูรณ์ขึ้น  เมื่อ..นิวตันได้เขียนจดหมายโต้ตอบกับโรเบิรต์ ฮุก และจากกฎนี้เอง..ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง..ใช้เป็นหลักการในการคำนวณการยิงจรวดออกไปนอกโลกได้ (คือ หากต้องการให้จรวดหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลก..ไปสู่อวกาศได้  ต้องเพิ่มความเร็วจรวดเป็น 15 กม./วินาที ) นอกจากนี้..นิวตันยังค้นพบกฎของการเคลื่อนที่ (Laws of Motion) อีกด้วย  และตีพิมพ์หนังสือจำนวน 3 เล่มที่ชื่อว่า " Principia " หรือ (Philosophiae Naturalis Principia Mathematica) ในปี ค.ศ. 1666-1667 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์..จนถึงปัจจุบัน

ด้วยความสามารถและความดีของนิวตันที่อุทิศตน..เพื่อวงการวิทยาศาสตร์มาอย่างสม่ำเสมอ  สมเด็จพระนางเจ้าแอนน์ (Queen Anne) แห่งอังกฤษได้พระราชทางยศชั้นอัศวิน (Knight) ในตำแหน่งท่านเซอร์ (Sir) แก่นิวตั้นในปี ค.ศ.1705  และในปั้นปลายชีวิต  นิวตันอยู่ในการดูแลของหลานสาว   โดยที่เขาอยู่เป็นโสด..และไม่ได้แต่งงานเลย   กระทั้ง..วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1727  นิวตันก็ถึงแก่กรรมลงอย่างสงบ  ด้วยอายุ 85 ปี  ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้ยกย่องเกียรติของเขา..โดยนำร่างของเขาไปฝังไว้ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey)

วาทะกรรม : " ถ้าหากว่าข้าฯ  เห็นได้ไกลกว่าใคร  นั่นก็เป็นเพราะข้าฯ ได้อาศัยที่ยืนอยู่บนไหล่ของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย "


EmoticonEmoticon

ติดตามผ่าน FACEBOOK

Video Of Week : เส้นทางนักบุกเบิก สตีฟ จ๊อบส์

Live Currency Cross Rates


The Forex Quotes are powered by Investing.com.