กาลิเลโอ เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 ในครอบครัวผู้ดีตกยาก จากเมืองปิซา ประเทศอิตาลี ในวัยเยาว์เขามีความสามารถเป็นพิเศษในทางดนตรี ศิลปะและคณิตศาสตร์ แต่บิดาของกาลิเลโอต้องการให้เขาเป็นแพทย์..จึงส่งเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปิซา ไม่นานนัก...เขาก็หันไปเรียนในทางคณิตศาสตร์ควบคู่กับวิทยาศาสตร์ และในปี 1585 กาลิเลโอก็มีปัญหาขัดสนเรื่องเงินทอง..จึงออกมหาวิทยาลัยปิซา กลับไปอยู่ที่ฟลอเรนทีน อคาเดมี (Florentine Academy) ในเมืองฟลอเรนซ์ โดยศึกษาด้วยตนเอง และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฏี Law of Motion ของ Aristotle เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ.1586 กาลิเลโอได้พิมพ์ผลงานเรื่องตาชั่ง..ที่เรียกว่า Hydrostatic Balance และงานเขียนเรื่องจุดศูนย์ถ่วงของของแข็ง (Center of Gravity of Solid) อันทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเมืองปิซา ด้วยอายุเพียง 24 ปี ทั้งที่ยังไม่เคยได้รับปริญญาบัตรใดๆ
ภาพ กาลิเลโอต่อหน้าการไตสวนของศาลศาสนาโรมัน วาดโดย Cristiano Banti's : 1857
ในช่วงค.ศ.1589-91 ขณะสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา กาลิเลโอได้ทำการทดลองทฤษฏีของอริสโตเติลที่กล่าวว่า " ของที่น้ำหนักเบากว่าจะตกถึงพื้นช้ากว่าของที่หนัก " โดยเขาได้นำเอาก้อนตะกั่วกลมหนัก 20 ปอนด์และ 10 ปอนด์ ขึ้นไปบนหอเอนเมืองปิซา และโยนก้อนตะกั่วทั้งสองลงมาพร้อมกัน และปรากกฏผลว่า..ก้อนตะกั่วทั้งสองตกลงพื้นพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาของนักศึกษา ศาสตาจารย์และประชาชนอีกมากมาย ซึ่งประสบผลสำเร็จ..ในการพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฏีของอริสโตเติลนั้นไม่ถูกต้อง
สรุปการทดลอง : เทหวัตถุทั้งหมดจะตกลงมาในระยะทางเท่ากัน..ในเวลาที่เท่ากัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงน้ำหนักหรือระยะทาง..:เพราะอัตราเร่งของเทหวัตถุจะเป็นปฏิภาคกับเวลาด้วย และก่อให้เกิดหลักของความเฉื่อย (Principle of Inertia) ที่ไอแซกนิวตันนำไปตั้งเป็นกฏที่มีหลักการว่า " เทหวัตถุจะคงอยู่ในสภาวะนิ่งหรือเคลื่อนไหวจนกว่าจะมีแรงอื่น มากระทำให้เปลี่ยนสภาวะไป " (A body remains at rest or moves along a straight line with constant velocity as long as no external force acts upon it) ในหนังสือ Principia
ในปี ค.ศ.1609 เมื่อกาลิเลโออยู่ในเมืองเวนิส เขาได้สนใจกับข่าวช่างทำแว่นตาชาวดัทช์ชื่อ แฮนส์ ลิปเปอร์เช (Hans Lippershey) ที่ได้ประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลขึ้น เขาเห็นว่าเครื่องมือนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในทางดาราศาสตร์ได้มาก กาลิเลโอจึงเริ่มศึกษาเรื่องคุณสมบัติของแสง และการใช้เลนส์รวมแสง..จนสามารถประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ (Telescope) ที่มีกำลังขยาย 3 เท่าได้สำเร็จ
นอกจากนี้ กาลิเลโอยังเป็นคนแรกที่ และค้นพบภูเขาและหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ และค้นพบจุดดำบนดวงอาทิตย์ และพบว่ากาแลกซี่ (Galaxy) หรือทางช้างเผือก (Milk Way) และเนบิวลา (Nebula) นั้นไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากกลุ่มดาวฤกษ์จำนวนมากนับแสนล้านดวงนั่นเอง และเขายังค้นพบวงแหวนของดาวเสาร์ (Saturn's Ring) และค้นพบดวงจันทร์ 4 ดวงที่โครจรอบดาวพฤหัส (Jupiter) และเขายังสนับสนุนทฤษฏีของโคเปอร์นิคัสที่ว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลด้วย
ภาพ กาลิเลโอกำลังสอนให้ดยุคแห่งเวนิสใช้กล้องดูดาว วาดโดย Giuseppe Bertini
ในปี ค.ศ.1615 กาลิเลโอถูกเรียกไปกรุงโรม เพื่อแก้ข้อกล่าวหากับพระสันตะปาปา ในที่สุดโป๊ปได้สั่งห้ามไม่ให้เขาสอนหรือเผยแพร่งานด้านดาราศาสตร์ หรือ ทฤษฏีอื่นๆที่ขัดกับคำสอนของศาสนจักรเป็นอันขาด (แม่ว่ากาลิเลโอจะไม่เห็นด้วยก็ตาม) และในปี 1633 เขาถูกศาลศาสนาลงโทษกักบริเวณอีกครั้ง และเพราะเหตุที่กาลิเลโอถูกลงโทษนี่เอง..ที่เป็นผลให้วงการวิทยาศาสตร์ของอิตาลี ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร
ในปั้นปลายชีวิต กาลิเลโอได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์คนโปรดคือ ทอริเซลลิ (Torricelli) และวิเวียนนิ (Viviani) และเริ่มล้มป่วยออดๆแอดๆด้วยอาการ suffering fever and heart palpitations เรื่อยมา จนถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1642 ร่างของเขาถูกนำไปฝั่งไว้ที่สุสาน ณ โบสถ์ Church of Santa Croce ในกรุงฟลอเรนซ์
วาทะกรรม : " หากเป็นเรื่องในทางวิทยาศาสตร์ การอ้างความเป็นผู้รู้ของคนพันคน ไม่มีค่าเท่ากับการให้เหตุผลที่ถ่อมตัวของปัจเจกชนเพียงคนเดียว "
EmoticonEmoticon