คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

คุณรู้ไหมว่า...ใครเป็นใคร..? บนโลกใบนี้

Charles V, Holy Roman Emperor (Charles I of Spain) ค.ศ.1500-1558


Charles I of Spain หรือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ฮับส์บรู์ก  Habsburg กษัตริย์ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในยุโรป  ในศตวรรษที่ 15  เพราะพระองค์ทรงได้รับมรดกจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ (พระอัยกา) คือ อารากอน  ซารืดิเนีย  ซิซิลีและเนเปิสล์  และมรดกจากพระอัยยีกา (พระนางอลิซาเบลล่า) คือ ทวีปอเมริกาและแคว้นคาสตีล  และส่วนมรดกจากจักรพรรดิแมกซิมิเลียน คือ  ออสเตรีย  และส่วนมรดกจากพระนางแมรี่แห่งเบอร์กันดี (พระมารดา) คือ ฟรองซ์  กองเต  ซึ่งล้วนอยู่ในอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บรู์กทั้งสิ้น  จึงทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 มีดินแดนอยู่ใต้การปกครองกว้างใหญ่ไพศาล...มาก  และทรงได้รับเลือกขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)  ในปี ค.ศ.1519  จนก่อให้เกิดความหวั่นวิตกว่า...จะทำลายดลุย์อำนาจในยุโรป

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 ทรงถือกำเนิดในเเนเธอร์แลนด์ (ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของสเปนในสมัยนั้น)  และทรงไปใกล้ชิดอยู่กับพระญาติทางพระบิดาซึ่งเป็นเยอรมัน  ด้วยเหตุนี้  พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 จึงทรงพูดภาษาสเปนไม่ได้เลย  แต่..พระองค์ก็ทรงขึ้นครองราชในสเปนช่วงปี ค.ศ.1519-1558 ซึ่งทำให้เกิดการต่อต้านการปกครองของพระองค์  แต่กระนั้น..พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 ก็รวบรวมอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวได้  ด้วยการปกครองและบริหารแบบรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง...และทำให้สเปนกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ

ภาพ อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  พื้นที่สีเหลืองอ่อนและเข้ม

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5  ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำสงครามปกป้องอาณาจักรของพระองค์จากฝรั่งเศส  ตุรกีและศัตรูที่เป็นโปรเตสแตนส์  จนถึงปี ค.ศ.1543  พระองค์ทรงพ่ายแพ้แก่กองทัพเติร์กผสมฝรั่งเศสที่เมืองนิส และในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการส่งทหารสเปนไปยึดครองแมกซิโกและเปรู (เฮอร์นัน กอร์เตส) และได้ขนทองคำและเงินกลับมาสเปนเป็นจำนวนมหาศาล..ซึ่งทำให้สเปนเป็นประเทศมหาอำนาจมากที่สุดในยุคนั้น  และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 ยังทรงเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดและปกป้องศาสนาอย่างเข้มแข็งอีกด้วย  โดยได้นำเอาระบบศาลพิเศษทางศาสนา " Spanish Inquisition " มาใช้ควบคุมอาณาจักรและปราบปรามพวกนอกรีต

 แต่เนื่องด้วยประชวรด้วยโรคเก๋าต์อย่างรุนแรง  พระเจ้าชร์ลส์ที่ 5 จึงสละราชสมบัติในปีค.ศ.1556  และเสด็จออกไปอาศัยอยู่ที่อาราม Yuste ใน Extremadura  เพียงลำพังอย่างสงบ  และสิ้นพระชนม์ในวันที่ 21 กันยายา ค.ศ.1558  โดยได้ทรงยกสเปนให้พระโอรสคือพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ปกครอง  และอาณาจักรเยอรมันให้พระอนุชา  พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1  ซึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิด้วย

หมายเหตุ 1: ราชวงศ์  Habsburg  ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5  ปกครองอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ครอบคลุมยุโรปกลางและดินแดนอาณานิคมของสเปน) ต่อมาหลายร้อยปี...จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1

Suleiman the Magnificent : สุไลมาน (ค.ศ.1494-1566)


Suleiman the Magnificent : สุไลมานผู้เกรียงไกร  หรือที่รู้จักกันในสมัญญานามว่า " ผู้ประศาสน์กฎหมาย " (the Lawgiver)  พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูประบบกฎหมายของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) จนทำให้รัชสมัยของพระองค์เป็นยุคทองทั้งทางการปกครอง  การฟื้นฟูวัฒนธรรม  วรรณคดี  ศิลปะและสถาปัตยกรรม  ในช่วงศตวรรษที่ 16 

สุลต่านสุไลมานทรงออกประมวลกฎหมายที่รู้จักกันในชื่อ “Kanun‐i Osmani” หรือ “กฎหมายออสมัน”  ที่ครอบคลุมทั้งกฎหมา่ยอาญา  กฎหมายที่ดินและกฎหมายภาษีอากร  โดยการยกเลิกบทบัญญัติเก่าที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกัน...จากคำพิพากษาของสุลต่าน 9 พระองค์ก่อนหน้านั้น  และออกเป็นประมวญกฎหมายฉบับเดียว  โดยไม่ขัดแย้งกับกฏหมายสูงสุดคือ " ชะรีอะฮ์ " (Shari'ah) และหลักการพื้นฐานกฎบัตรของศาสนาอิสลาม  นอกจากนี้  พระองค์ยังลดการใช้โทษประหารชีวิตหรือการตัดชิ้นส่วนร่างกายของผู้กระทำความผิด  ในด้านภาษีอากร..ได้ปฏิรูปและระบบการจัดเก็บภาษีสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ทั้งภาษีสัตว์  เหมืองแร่  ภาษีการค้าขาย  ภาษีขาเข้า-ขาออก  รวมทั้งออกกฎหมายควบคุมนายภาษีที่ทุจริต  ซึ่งมีโทษทั้งการยึดทรัพย์และที่ดินกลับคืนเป็นของหลวง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้สืบต่อกันมาในประเทศอิสลามอีกหลายร้อยปี

จุลจิตรกรรมแสดงภาพสุลต่านสุลัยมานมหาราชเสด็จนำทัพใน Nakhchivan ปี ค.ศ.1554

ในด้านการศึกษาทรงตั้งให้มีระบบการศึกษาโดยใช้มัสยิดเป็นสถานศึกษาหลัก..โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียนใดๆ สร้างห้องสมุดและจัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษากว่าสี่สิบโรงเรียนที่สอนการหัดอ่าน เขียนและเรียนรู้หลักศาสนาอิสลามเบื้องต้น  และสามารถเรียนต่อในวิทยาลัยแปดแห่งที่สอนในด้านไวยากรณ์  อภิปรัชญา  ดาราศาตร์และโหราศาสตร์  ซึ่งทั้งหมดอยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของสถาบันศาสนา ซึ่งถือว่า...มีความก้าวหน้ากว่าระบบการศึกษาของชาวคริสต์ในประเทศอื่นๆ  ในสมัยเดียวกันอย่างมาก

ในด้านสังคม  สุลต่านสุไลมานทรงสร้างมัสยิด  ห้องสมุด  โรงทาน  สะพานท่อส่งน้ำและสาธารณูปโภคต่างๆ  สถานพยาบาลสำหรับสาธารณชน  และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ศิลปะ  วรรณคดี  โดยพระองค์เองยังเป็นกวีฝีปากเอกและช่างทองฝีมือดี...อีกด้วย

ในด้านการทหารกษัตริย์สุไลมานทรงทำสงครามกับพวกคริสเตียนขยายดินแดนไปจนถึงฮังการี  และทำสงครามกับกษัตริย์เปอร์เซีย(ทางตะวันออกกลาง) และยึดครองดินแดนอีรักและลิเบีย และขยายดินแดนไปในตอนเหนือของแอฟริกาและแอลจีเรีย   กองทัพเรือของพระองค์มีอำนาจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  คลอบคลุ่มไปถึงทะเลแดง  อ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย  และมีอำนาจในยุโรป  ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองจนถึงขีดสุดของจักรวรรดิออตโตมัน

หมายเหตุ : จักรวรรดิออตโตมัน  เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1453-1923  หลังจากการล้มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์  ซึ่งมีคอนแสตนติโนเปิล (อิสตันบลู) เป็นเมืองหลวง  โดยจักรวรรดิออตโตมันมีอาณาเขตครอบคลุมถึง 3 ทวีป  คือ  เอเซีย  แอฟริกาและยุโรป

Saint Ignatius of Loyola : เซนต์ โลโยล่า (ค.ศ.1491-1556)


Saint Ignatius of Loyola : เซนต์ โลโยล่า  บาทหลวงชาวสเปนผู้ก่อตั้งคณะเยซูอิต  เริ่มต้นใน ค.ศ.1541  ซึ่งคณะเยซูอิตเป็นเสมือนกองทัพหรือสมาคมทหารที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด..เพื่อรับใช้องค์พระสันตะปาปา  ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปฏิรูปศาสนาโรมันคาทอลิกในช่วงปี ค.ศ.1553-1555  และเป็นกำลังสำคัญที่สนับสนุนพระสันตะปาปาในการต่อสู้กับพวกโปรเตสแตนต์  อีกทั้ง..นักบวชคณะเยซูอิตยังเป็นกลุ่มบาทหลวงแรกๆที่เดินทางไปเผยแพร่คริสตศาสนาในอเมริกาใต้  อินเดียและญี่ปุ่นด้วย

เซนต์ โลโยล่าได้ชื่อว่า..เป็นสาวกผู้มีวินัยและอุทิศตัวในการรับใช้คริสตจักรโรมันคาทอลิกอย่างมาก  เขาเกิดในครอบครัวขุนนาง เคยเป็นทหารและได้รับบาดเจ็บจากการรบในสงคราม (the Battle of Pamplona in 1521)  และในระหว่างการพักฟื้น  โลโยล่ามีนิมิตเห็นพระแม่มารีและพระบุตร  ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะเป็นอัศวินเพื่อรับใช้พระเจ้า เช่นเดียวกับ เซนต์ฟรานซิสแห่งอัสซ๊ซ๊ (St.Francis of Assisi) เมื่อหายดีแล้ว  โลโยล่าจึงเดินเท้าไปเมือง Manresa (Catalonia) และใช้เวลาหลายเดือนในถ้ำด้วยการสวดมนต์และบำเพ็ญตบะจนเข้มแข็ง ต่อมา..โลโยล่ากับเพื่อนอีก 6 คนได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา (Pope Paul III) ที่โรม  เพื่อขอจัดตั้งคณะบุคคล..เพื่อทำงานเผยแพร่ศาสนาและสาธารณะกุศล  สันตะปาปาทรงอนุมัติ (ค.ศ.1556) โลโยล่าจึงได้เป็นหัวหน้าคณะนิกาย Society Of Jesus หรือ Jesuits (เยซูอิต) โดยคณะเยซูอิดมีการจัดตั้งองค์กรแบบรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง  และจัดตั้งวิทยาลัยและคณะบาทหลวงของตนเองและขยายตัวไปในอิตาลี สเปน โปรตุเกสและเยอรมันตอนใต้

ภาพ  นิมิตของนักบุญ โลโยล่า

เซนต์ โลโยล่ายังเขียนหนังสือชื่อว่า " การออกกำลังทางจิตใจ " (The Spiritual Exercises of Ignatius) เป็นชุดหนังสือกว่า 200 หน้าที่สอนในเรื่องการทำสมาธิและการสวดมนต์  เพื่อฝึกฝนตนเอง..ทั้งทางร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็ง  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระสันตะปาปาในการตีพิมพ์ ในปีค.ศ. 1522-1524

คณะเยซูอิตไม่เป็นที่ยอมรับจากสมาคมคริสต์ศาสนาอื่นๆ  เหตุเพราะอิจฉา..ที่พวกเยซูอิตได้รับสิทธิพิเศษและความไว้วางใจจากพระสันตะปาปามากกว่า  ซึ่งคณะเยซูอิตก็ได้รับใช้และสนองราชโองการของพระสันตะปาปาให้สำเร็จได้อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว ในหลายๆเรื่อง เช่น  การจัดตั้งศาลศาสนา (The Inquisition) ขึ้น  เพื่อต่อต้านการกระทำนอกรีตต่างๆ  โดยมีการจัดตั้งคณะผู้พิจารณาคดีและพิจารณาความประพฤติทางศาสนา..ที่สามารถตัดสินโทษได้ด้วยการเผาทั้งเป็น  อันประสบความสำเร็จอย่างมากในการปราบปรามพวกนอกรีตจำนวนมากในสเปนและอิตาลี  และการจัดการประชุมสังฆสภาที่เมืองเทรนท์ ค.ศ.1545 ที่สืบเนื่องต่อไปถึง 18 ปี  และการทำรายชื่อหนังสือต้องห้าม (Index of Black List) ค.ศ.1564 เช่น  หนังสือของอีรามุส (Erasmus's Commentary on the New Testament) และหนังสือของโคเปอร์นิคัส (De Revolutionbus Orbium Coelestium) เป็นต้น

เมื่อคณะเยซูอิตมีอำนาจมากขึ้น..ในยุโรป  จึงทำให้เกิดศัตรูทั้งทางศาสนาและทางการเมืองในยุคล่าอาณานิคมจากทั้งรัฐบาลฝรั่งเศส  อังกฤษ สเปนและโปรตุเกสที่ในเวลาต่อมา...ได้ร่วมกันกดดันพระสันตะปาปาให้ยุบคณะเยซูอิตในปี ค.ศ.1773  หลังจากนั้นในปี 1814  พระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้ฟื้นคณะเยซูอิตขึ้นใหม่อีกครั้ง      

Hernan Cortes : เฮอร์นัน กอร์เตส (ค.ศ.1485-1547)


Hernan Cortes : เฮอร์นัน กอร์เตส  มาร์ควิสแห่งภูเขาไอโอซากา (Marquis of the Valley of Oaxaca) นักสำรวจและนักล่ายึดดินแดนชาวเสปน ในศตวรรษที่ 16  เฮอร์นัน กอร์เตสเข้าร่วมเดินทางไปทวีปอเมริกาใต้(ซึ่งถือว่าเป็นโลกใหม่ในสมัยนั้น)  โดยการสนับสนุนของกษัตริย์แห่งแคว้นคาสตีล(King of Castile)  เริ่มแรกเขาได้ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินที่ซานตาตอมิงโก  ในปี ค.ศ.1511 เขาได้เข้ายึดคิวบา  และในปี 1519 เฮอร์นัน กอร์เตสได้นำกำลังทหาร 508 คนและม้า 16 ตัว  มุงหน้าไปสู่อาณาจักรของชาวแอซเท็ก((Aztec Empire:ปัจจุบันคือเม็กซิโก)  เพื่อค้นหาทองคำและเผยแพร่ศาสนาคริสต์

เมื่อเฮอร์นัน กอร์เตส เดินเรือไปถึงฝั่งเม็กซิโก  เขาได้เผาทำลายเรือทิ้ง..เพื่อปลุกขวัญเหล่าทหารและแสดงความมุ่งมั่นว่าจะต้องเข้ายึดอาณาจักรของชาวแอซเท็กให้ได้  โดยเขาเริ่มแผนการด้วยการผูกมิตรและชักชวนชนพื้นเมืองหลายๆเผ่าที่ไม่พอใจการปกครองอาณาจักรของกษัตริย์ชาวแอซเท็ก(มอนเตซูมาที่ 2:Moctezuma II) มาเป็นพันธมิตร  และใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งทางการทูตและการทหาร  รวมทั้งปิดล้อมเมืองให้ผู้คนเกิดความอดอยากและแพร่เชื่อโรค เช่น ฝีดาษ  ซึ่งชาวแอซเท็กพื้นเมืองไม่มีภูมิต้านทาน  ทำให้มีผู้คนล้มตายไปราว 1 ใน 3 และจับกษัตริย์มอนเตซูมาที่ 2 กักขังไว้ในพระราชวังชนสิ้นพระชนม์  และสามารถทำลายล้างอาณาจักรแอซเท็กได้ในที่สุด

ภาพ เฮอร์นัน กอร์เตส ละทิ้งกองเรือของตนเอง  เพื่อปลุกขวัญเหล่าทหาร 

ถือเป็นการเริ่มต้นของลัทธิล่าอาณานิคม...ที่ทำลายล้างบ้านเมืองและชาตฺิพันธ์ชาวแอซเท็กให้สูญสิ้นไป  และในเวลาต่อมา..เฮอร์นัน กอร์เตสได้ขยายอำนาจไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้  แต่กระนั้น..เขาก็ได้เป็นผู้ปกครองอาณานิคมเมกซิโกได้ไม่นาน..ก็ถูกปลด  เพราะความแตกแยกทางการเมืองภายในและพ่ายแพ้ให้กับกองทหารของ Francisco de Garay ในปี ค.ศ.1523  ภายหลังเขายังได้เดินทางไปสำรวจฮอนดูรัส  แต่ชีวิตช่วงท้ายๆล้มเหลว และต้องเดินทางกลับสเปน 2 ครั้ง

ในปี ค.ศ.1547 เมื่อเดินทางไปถึงเซวิลล์ (Seville) เฮอร์นัน กอร์เตสได้ป่วยเป็นโรคบิดและเสียชีวิตลงที่ Castilleja de la Cuesta ในเซบีญ่า  และร่างของเขาถูกย้ายที่ฝังมากกว่า 8 ครั้ง และเมื่อเมกซิโกได้เป็นอิสระ..ประชาชนที่โกรธแค้นได้ทำลายกระดูกของเฮอร์นัน กอร์เตสและซ่อนไว้..จนสูญหายไป  และต่อมาในปี ค.ศ.1946 ได้มีการค้นพบกระดูกของเขาอีกครั้ง ซึ่งมันได้ถูกนำไปเผาต่อหน้าสาธารณชนที่ด้านหน้าของรูปปั้นเมกซิโกซิตี้ (the statue of Cuauhtemoc) และโยนขี้เถ้าทิ้งไปในสายลม

Martin Luther : มาร์ติน ลูเธอร์ (ค.ศ.1463-1560)


Martin Luther : มาร์ติน ลูเธอร์  บาทหลวงชาวเยอรมัน  ผู้ริเริ่มขวบนการปฏิรูปคริสตศาสนาซึ่งในสมัยนั้นมีแต่นิกายโรมันคาทอลิก (ศตวรรษที่15-16)  มาร์ติน ลูเธอร์ก่อตั้งนิกายลูเธอแรน (Lutheranism) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการโปรเตสแตนต์ (Protestant) ในหลายๆประเทศในยุโรป

มาร์ติน ลูเธอร์ เป็นลูกของกรรมกรเหมือนแร่ เคยเรียนปรัชญาและกฎหมายมาก่อน..ต่อมามีศรัทธาในศาสนา  เขาจึงได้บวชเป็นบาทหลวงในวัดนิกายออกัสติเนียน(Augustinian Monastery)  และศึกษาเรียนต่อทางเทววิทยาที่มหาวิทยาลัยวินเทนแบร์ก (Wittenburg University) ซึ่งเขาได้เป็นอาจารย์ด้านคัมภีร์ศึกษาที่นั่น  ต่อมา..เมื่อเขาเดินทางไปโรม  มาร์ติน ลูเธอร์ตกใจอย่างมากกับความเสื่อมเสียทางศีลธรรมของพวกบาทหลวงในสมัยนั้น โดยเฉพาะในเรื่องการขายใบไถ่บาป (Sale of Indulgences)  เขาจึงต่อต้านอย่างรุนแรงและได้ประการข้องเรียกร้อง 95 ข้อ(The Ninety-five Theses) ปิดไว้ที่ประตูวิหารวินเทนแบร์ก เพื่อให้มีการปฏิรูปศาสนจักรให้บริสุทธิ์ และไม่ยอมรับในอำนาจของพระสันตะปาปา ซึ่งคำประท้วงของมาร์ติน ลูเธอร์ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเป็นที่สนใจของชาวยุโรปอย่างมาก  อันเป็นเหตุให้  พระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ประกาศคว่ำบาตรเขา  และทำให้มาร์ติน ลูเธอร์ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่แคว้นแซกโซนี่


มาร์ติน ลูเธอร์แปลพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาเยอรมันอย่างมีพลัง  ทำให้ประชาชนได้ศึกษาไบเบิลโดยตรง  ไม่ต้องผ่านคำอธิบายของบาทหลวง  เขายังเขียนบทแถลงศรัทธาแห่งเอาก์บรูก  เพลงสวด  หนังสือสวดมนต์  และผลงานทางเทววิทยาแนวคิดนิการลูเธอแรน  เผยแพร่ไปทั่วเยอรมันและยุโรปเหนือ  และมีผู้นำไปเผยแพร่ต่อในสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 18-19  โดยนิกายลูเธอแรน (Lutheranism) มีหลักการ 3 อย่าง คือ 1) Salvation by Faith not by Work : การรอดจากบาปโดยอาศัยศรัทธาไม่ใช่การให้ทาน 2) The Ultimate Authority of the Bible : พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  และ3) The Priesthood of all Believers : ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าล้วนมีความเป็นนักบวชในตนเองเหมือนๆกัน  พระไม่ได้มีความแตกต่างจากฆราวาสทั่วไป   และมาร์ติน ลูเธอร์  ยังมีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างนิกายหรือองค์การเป็นแบบแนวระนาบที่โบสถ์แต่ละแห่งมีอำนาจปกครองตนเอง  โดยไม่มีองค์การบริหารรวมศูนย์แบบมีลำดับชั้นเหมือนนิกายโรมันคาธอลิก

วาทะกรรม : " ข้าฯ กลัวจิตใจของตนเองมากกว่าของสันตะปาปาและคาร์ดินัลทั้งหลาย  ข้าฯ มีสันตะปาปาที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัว, นั่นคือ ตัวตนของข้าเอง"

หมายเหตุ 1 : คริสตศาสนาเริ่มมีความเสื่อมตั้งแต่ศควรรษที่ 13 เป็นต้นมา..เริ่มจากที่ศาสนจักรและพระเข้าไปร่วมในสงครามครูเสด (The Crusade War) หรือการที่พระ, บาทหลวงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหรา  ร่ำรวย..ซึ่งไม่เหมาะสมกับสถานะการเป็นนักบวช  การประพฤติผิดศีลธรรม(ทางเพศ)  การทุจริตในงานศาสนา  เช่น  การซื้อขายตำแหน่งพระราชาคณะ  หรือแต่งตั้งพระในตำแหน่งต่างๆโดยไม่คำนึงถึงความรู้  แต่อาศัยความเป็นเครือญาติหรือความสนิทสนมส่วนตัว  ในด้านอื่นเช่น..การที่โบสถ์มีรายได้จากภาษีต่างๆ  จากค่าธรรมเนียมศาล  จากเงินค่าธรรเนียมการประกอบพิธีทางศาสนาและการขายใบไถ่บาป (เริ่มในคศตวรรษที่14) และการครอบครองในที่ดินมากมาย (ในศตวรรษที่16 ศาสนจักรมีที่ดิน 1 ใน 4 ของประเทศเยอรมัน และ 1 ใน 5 ของประเทศฝรั่งเศส) ด้วยเหตุนี้  จึงทำให้ศาสนจักรมีอำนาจทางการเมืองต่อฝ่ายอาณาจักร เป็นต้น

หมายเหตุ 2: เรื่องใบไถ่บาป (ในปี ค.ศ.1517 พระในนิกายโดมินิกัน  นามว่าจอห์น เทตเซล (John Tetzel) ได้ออกเดินทางมาขายใบไถ่บาปในดินแดนเยอรมัน  เนื่องจากพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 (Pop Leo X) ต้องการเงินจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St.Peter Cathedral) จึงใช้วิธีขายใบไถ่บาป (Indulgence) ให้แก่คริสตศาสนิกชนในดินแดนต่างๆ...โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน)

Ferdinand Magellen : เฟอร์ดินานด์ มาเจลเลน (ประมาณ ค.ศ.1480-1521)


Ferdinand Magellen : เฟอร์ดินานด์ มาเจลเลน  นักเดินเรือและนักสำรวจชาวโปรตุเกส  ผู้ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน   ให้มาเจลเลนออกเดินเรือเพื่อค้นหาเส้นทางการค้าใหม่ไปยังเอเซีย (หลังจากโคลัมปัสได้ค้นพบทวีปใหม่ตามเส้นทางทิศตะวันตก  การแข่งขันในการเดินเรือของประเทศมหาอำนาจในยุโรปก็เริ่มขึ้น  โดยมีการลงนามในสนธิสัญญา Tordesillas:1494  ร่วมกันว่าโปรตุเกสต้องแบ่งดินแดนที่ค้นใหม่...ตามเส้นทางทิศตะวันออกที่อยู่นอกเขตแดนยุโรปกับกษัตริยแห่งแคว้นคาสตีล )

ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1519  มาเจลเลนเริ่มแล่นเรือ 5 ลำออกมหาสมุทรแอตแลนติกอ้อมปลายสุดทวีปอเมริการใต้ในปี ค.ศ.1520  ผ่านช่องแคบใหม่ที่ตั้งชื่อตามเขาว่า " ช่องแคบมาเจลเลน " จนไปพบมหาสมุทรใหม่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งคลื่นลมสงบเสียจนเขาตั้งชื่อว่า " แปซิฟิก " ที่แปลว่า ' สงบสันติ ' และแล่นเรือต่อมาจนถึงหมู่เกาะอินเดียตะวันออก  แต่โชคร้ายที่มาเจลเลนถูกชนพื้นเมืองสังหารในการต่อสู่ (Battle of Mactan:27 April 1521)ในฟิลิปปินส์  และลูกเรือที่เหลือได้เดินทางต่อมาจนถึงหมู่เกาะโมลุกะ (Maluku Islands)  และแล่นต่อไปทางตะวันตกจนกลับถึงสเปนในปี 1522  ถือเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ภาพ เส้นทางการเดินเรือรอบโลกของ มาเจลเลน

หมายเหตุ : เพราะมาเจนเลนเป็นนักเดินเรือคนสำคัญของโลกนี้  ชื่อของเขาจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการค้นพบสิ่งใหม่ๆ  ซึ่งได้รับเกียรติให้ตั้งชื่อ..ตามชื่อของมาเจลเลน  เช่น  นกเพนกวินมาเจลเลน  ดวงดาวและก้อนเมฆมาเจลเลน (The two Magellanic Clouds) หลุมอุกาบาตฝาแฝดบนดวงจันทร์ (the twin lunar craters of Magelhaens and Magelhaens A)  และปล่องภูเขาไฟบนดาวอังคาร (the Martian crater of Magelhaens)

วาทะกรรม : " ศาสนจักรบอกว่าโลกแบน  แต่ข้ารู้ฯ ว่ามันกลม  เพราะว่าข้าได้เห็นเงาของโลกบนดวงจันทร์  และข้าฯ ศรัทธาในเงานั้นมากกว่าศาสนจักร"

Sir Thomas More : เซอร์ ธอมัส มอร์ (ค.ศ.1478-1535)



Sir Thomas More : เซอร์ ธอมัส มอร์ รัฐบุรุษ  นักเขียนชาวอังกฤษ  และได้รับการย่อย่องว่าเป็นขุนนางผู้สัตย์ซื่อแห่งอังกฤษ  และผู้เขียนเรื่อง Utopia สังคมอุดมคติที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยปัญญาและเหตุผล  เซอร์ ธอมัส มอร์เป็นปัญญาชนที่ฉลาดสุขุมและมีไหวพริบ  จนได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดีและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (ในช่วงเวลาที่อังกฤษมีปัญหาอย่างมาก...ทั้งในส่วนของอาณาจักรและศาสนจักร)

ภาพ คำพูดสุดท้ายของเซอร์ ธอมัส มอร์ กับบุตรสาว วาดโดย William Frederick YeamesRA

และเมื่อพระเจ้าเฮนรี่ต้องการหย่ากับมเหสีพระนางแคทเธอรีนแห่งเอรากอน (Catherine of Aragon) เพื่ออภิเษกสมรสใหม่กับนางแอนโบลีน(Anne Boleyn) แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 (Pope Clement VII)  ดังนั้น  พระเจ้าเฮนรีจึงแต่งตั้งให้เซอร์ธอมัส มอร์ ทำพิธียอมรับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เป็นประมุขของศาสนานิกายอังกฤษ (Act of  Supremacy)  แต่เซอร์ ธอมัส มอร์ ปฏิเสธ(เพราะเห็นว่าขัดกับหลักการทางศาสนาและหลักศีลธรรมที่ถูกต้อง) เขาจึงได้ลาออกจากตำแหน่งราชการและหลีกหนีไปอยู่บ้านนอกอย่างเงียบๆ  แต่ต่อมาภายหลัง...ถูกใส่ร้ายกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกตัดสินประหารชีวิต

หมายเหตุ : เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขสูงสุดของนิกกายอังกฤษแล้ว ในเดือนกันยายน ค.ศ.1529  พระองค์ได้ประกาศให้วัดอังกฤษเป็นอิสระจากโรม  และต่อมาได้ออกบัญญัติ 6 ข้อ (The Six Articles) เพื่อใช้เป็นหลักศาสนาในอังกฤษที่เรียกว่าแองกลิกัน (Anglicanism หรือ Church of England) นั่นเอง

Michelangelo : ไมเคิล แองเจโล (ค.ศ.1475-1564)


Michelangelo : ไมเคิล แองเจโล หรือ มิเกลันเจโล ประติมากร  จิตรกร  สถาปนิก  และกวีชาวอิตาลี  ผู้มีชื่อดังก้องโลก  ตั้งแต่วัยเด็กไมเคิล แองเจโลมีชีวิตใกล้ชิดกับงานศิลปะและศีลปินที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคน เช่น  ในวัยเด็กเขาได้ฝึกงานอยู่กับโดมิเนโก จิร์ลันไดโอ (Domemico Ghirlandaio)จิตกรชาวฟลอเรนซ์ที่เชี่ยวชาญในการเขียนภาพจิตกรรมฝาผนังแบบปูนเปียกหรือเฟรสโก (Fresco) และฝึกคัดลอกผลงานจิตกรรมของจอตโต (Giotto di Bondone) เพื่อเป็นการฝึกฝนศิลปะขั้นพื้นฐาน

ต่อมาในปี 1489 ไมเคิลแองเจโลได้เข้าเรียนและฝึกงานในสายตระกูลเมดิซิ (Medici) ที่ต่อมาพัฒนาเป็นสถาบันศิลปะหรืออคาเดมี (Academy) อันเป็นโอกาสให้เขาได้ศึกษางานปฏิมากรรมของกรีกและโรมันที่ตระกูลเมดิซีได้สะสมไว้  นอกจากนี้ไมเคิลแองเจโลยังได้สมาคมกับศิลปิน  นักปรัชญาและนักกวีคนสำคัญๆในยุคนั้นด้วย  ซึ่งได้สร้างอิทธิพลทางความคิดและปรัญชาใหม่ๆ..ที่นำมาผสมผสานเข้ากับการสร้างสรรค์งานศิลปะของตนเอง (ไมเคิลแองเจโลให้ความสำคัญในเรื่องแนวคิดทางศีลปะและปรัชญามากกว่าการสร้างทักษะฝีมือเพียงอย่างเดียว)

ประติมากรรมชื่อ Pieta แปลว่า "ความสงสาร" เป็นรูปพระแม่มารีกับพระบุตร

ในวัย 26 ปี ไมเคิลแองเจโลได้แกะสลักรูปหินอ่อน David ที่แสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามแบบอุดมคติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)  และในปี 1497-1550 เขาได้สร้างงานประติมากรรมชื่อว่า Pieta  ที่งดงามอย่างมาก (ปัจจุบันอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม) พออายุ 30 ปี เขาได้เป็นผู้ออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2  ซึ่งใช้เวลานานกว่า 40 ปี  และเขียนภาพปูนเปียกบนเพดานวิหารซีสติน (The  Last Judgement) ที่มีความวิจิตงดงาม..อันเป็นภาพจากเรื่องราวในพระคริตธรรมคัมภีร์เก่า  และไมเคิลแองเจโลยังเป็นหัวหน้าสถาปนิกในการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ด้วย (ซึ่งผลงานทั้งหมดถือเป็นประติมากรรม จิตกรรมและสถาปัตยากรรมชิ้นเองของโลกทั้งสิ้น)

ไมเคิลแองเจโล บูโอนาร์โรตี  เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 ที่บ้านพักในกรุงโรม  ด้วยอายุ 89 ปี  ขณะที่แกะสลักงานประติมากรรมหินอ่อนชื่อ Pieta Rondanini ค้างไว้อยู่  ร่างของเขาถูกนำไปฝังไว้ที่โบสถ์ Santi Apostoli ในนครฟลอเรนซ์

วาทะกรรม : " ถ้าหากคนทั้งหลายรู้ว่าผมต้องทำงานหนักมากเพียงไร  เพื่อให้เกิดความชำนาญอย่างที่ผมทำได้, มันคงจะดูไมใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์อะไรนัก "

Nicolaus Copernicus : นิโครัส โคเปอร์นิคัส (ค.ศ.1473-1543)


Nicolaus Copernicus : นิโครัส โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์  ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปฏิวัติความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับจักวาลวิทยา  และเป็นบิดาของวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่  ในศตวรรษที่ 16 ที่คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังเชื่อตามอริสโตเติลและปโตเลมีที่ว่า..โลกนั้นอยู่กับที่และดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นๆนั้นหมุนรอบโลก และยังเชื่อตามคำสอนในไบเบิล  แต่โคเปอร์นิคัสไม่ได้เชื่อเช่นนั้น...โดยเขาได้ศึกษางานของนักดาราศาสตร์ชาวอเล็กซานเดรียชื่อว่า Aristarchus ที่กล่าวว่า  ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักวาล..โลกและดาวเคราะห์อื่นๆโครจไปรอบๆดวงอาทิตย์  โดยโคเปอร์นิคัสได้ศึกษาและทำการทดลองตามทฤษฏีของ Aristarchus อยู่นานหลายปีจนเชื่อถือได้ว่าถูกต้อง

งานเขียนชิ้นสำคัญของโคเปอร์นิคัส De Revolutionibus Orbrium Codestium หรือ On The Revolutions of The Heavenly Bodies  ซึ่งในปัจจุบันนี้เรียกว่า Revolutions นอกจากโคเปอร์นิคัสจะเสนอว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลแล้ว  เขายังได้เขียนไดอะแกรม (Diagram) ที่แสดงรายละเอียดถึงตำแหน่งของดาวเคราะห์ต่างๆ  ตำแหน่งของโลกและดวงจันทร์ไว้อย่างชัดเจน...รวมทั้งยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการโคจรและการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ต่างๆ..ที่มีผลและความสัมพันธ์กับโลกอย่างไร ? อีกด้วย

ภาพ ไดอะแกรมของโคเปอร์นิคัส แสดงการโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆรอบดวงอาทิตย์

แต่กระนั้น..โคเปอร์นิคัสก็ยังไม่กล้าเผยแพร่หนังสือนี้ออกไป  เพราะเขารู้ว่าเป็นเรื่องที่อันตรายกับตนเองและขัดกับคำสอนในศาสนาอย่างมาก (ในศตวรรษที่ 16 ที่คริสตจักรมีอำนาจ  หากใครขัดคำสอนของศาสนาและพระคัมภีร์แล้วจะมีโทษหนักถึงตาย คือถูกจับเผาไฟทั้งเป็น )

แต่ในที่สุด...โคเปอร์นิคัสได้รวบรวมงานเขียนทั้งหมด  ส่งให้ Rheticus เพื่อนที่เป็นศาสตราจารย์ทางวิชาคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยวินเทนเบอร์ (University Wittenberg) ซึ่งส่งต่อให้ Andreas Osiander และได้รับการตีพิมพ์ในประเทศเยอรมันนีในปี ค.ศ.1543 ก่อนที่โคเปอร์นิคัสจะเสียชีวิตได้ไม่นานเท่านั้น  โดยใช้เวลานานถึง 30 ปี กว่าเขาจะได้พิสูนจ์สมมุติฐานที่ว่า...โลกและดาวเคราะห์อื่นๆโครจไปรอบๆดวงอาทิตย์นี้ถูกต้อง

หมายเหตุ : ทฤษฏีเรื่องวงโคจรของดาวเคาระห์ของโคเปอร์นิคัสนั้นมีความผิดพลาดอยู่บ้าง  ต่อมาในภายหลังเคพเลอร์ (Kepler) ได้ทำการศึกษาต่อมาจนทราบว่า..วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี

ติดตามผ่าน FACEBOOK

Video Of Week : เส้นทางนักบุกเบิก สตีฟ จ๊อบส์

Live Currency Cross Rates


The Forex Quotes are powered by Investing.com.

ไขปริศนาคดีฆาตกรต่อเนื่องโดย นักฆ่าโซดิแอค

โพสต์แนะนำ

Anton Van Leeuwenhoeh : ลีเวนฮุ๊ค (ค.ศ.1632-1723)

Anton Van Leeuwenhoeh : ลีเวนฮุ๊ค  นักชีววิทยาชาวดัชท์  ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น " บิดาแห่งจุลชีววิทยาการ " ( the Father of M...

บทความที่ได้รับความนิยม

Kategori

สนับสนุนเว็บไซด์

หนังคาวบอยดี.. ดูฟรี ออนไลน์

Kategori