Kepler, Johann : โยฮานน์ เคพเลอร์ นักคนิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ในวัยเด็กอายุ 4 ขวบเขาป่วยเป็นกาฬโรค(Plagued) จึงเป็นเหตุให้เคพเลอร์สายตาไม่ค่อยดีและแขนข้างหนึ่งพิการ แต่กระนั้น...เขาก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทูบิงเกน (Tubingen) ในปี 1593 และได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยกราช (Graz) เป็นเวลา 7 ปี ในประเทศออสเตรีย และในปี ค.ศ.1600 เคพเลอร์ได้รับเชิญจากจักรพรรดิ์รูดอล์ฟที่ 2 ให้ไปร่วมทำงานค้นคว้าทางดาราศาสตร์ที่หอดูดาว เบนาเทค (Benatek) กรุงปร๊าค และรับตำแหน่งหัวหน้าโครงการฯ...สืบต่อจาก ทิโค บารห์ (Tycho Brahe) ในที่สุด
ผลงานที่สำคัญ เคพเลอร์จัดทำและพิมพ์ตารางทางดาราศาสตร์ Rudolphine table ที่มีความถูกต้องแม่นยำ เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1627 โดยใช้เวลานานถึง 27 ปี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักเดินเรือและนักสำรวจในศตวรรษต่อมาอย่างมาก และเคพเลอร์ยังเขียนหนังสือ เช่น " การโคจรของดาวเคราะห์เป็นไปในรูปวงรีไม่ใช่วงกลม " (The orbits of planets are ellipses, not cricles) ซึ่งปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ชื่อ " Astronomia Nova " ที่พิมพ์ในปี ค.ศ.1609 และเขายังรวบรวมและแปลงานของนักดารารศาสตร์กรีก เช่น ปโตเลมี, อาร์คิมิดิล, อพอลโลนิอัส ไว้หลายเล่มอีกด้วย (คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังมีความเชื่อว่า...ดวงอาทิตย์โคจรลอบโลก)
ภาพ โมเดลจำลองระบบของพลังงานแสงอาทิตย์ ในปี 1596
แต่สิ่งที่ทำให้เคพเลอร์มีชื่อเสียงที่โด่งดังในวงการดาราศาสตร์ของโลกจนถึงปัจจุปัน คือ กฎ 3 ข้อของเคพเลอร์ที่ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ( Kepler's three laws of planetary motion) หรือที่เรียกกันสั่นๆว่า " กฎของเคพเลอร์ " ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้....
1) กฎของการโคจรเป็นวงรี (Law of elliptic orbits) กล่าวว่า " ดาวเคราะห์ทุกดวงเคลื่อนที่เป็นรูปวงรีรอบดวงอาทิตย์ "
2) กฎของเนื้อที่ (Law of areas) กล่าวว่า " ถ้าลากเส้นตรงจากดาวเคราะห์มายังดวงอาทิตย์ เส้นนี้เมื่อเลื่อนไปจะมีเนื้อที่เท่ากัน ถ้าเวลาที่เลื่อนไปนั้นเท่ากัน..."
3) กฎ (Harmonic Law) กล่าวว่า " มีความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ระหว่างเวลาที่ดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์ กับระยะทางโดยเฉลี่ยของดาวดวงนั้นจากดวงอาทิตย์ คือกำลังสองของเวลาที่หมุนไปจะเป็นสัดส่วนกันกับกำลังสามของระทางโดยเฉลี่ย..."
ซึ่งงานค้นคว้าทางดาราศาสตร์ของเคพเลอร์ได้เป็นรากฐาน...และแนวทางให้กับการค้นคว้าของนิโคลาส โคเปอร์นิคัส และปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในสมัยของไอแซค นิวตันในเวลาต่อมา